วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 16 รายงานหน้าชั้น

บริการซ่อมคอมพิวเตอร์ภายในวิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงครามหาคำศัพท์ 10 คำ พร้อมคำแปลและท่องคำศัพท์ ให้อาจารย์ฟังทั้ง 10 คำ

สัปดาห์ที่ 15 <<< รายงานหน้าชั้น

เรื่อง what is computer ?

สัปดาห์ที่ 14 ลง Windows XP

















สัปดาห์ที่ 13 present งาน


สัปดาห์ที่ 12 Windows Xp

ส่วนประกอบของ Windows XP-เดสก์ทอป (Desktop)-Taskbar-เมนู Start (Start Menu)การใช้งานโปรแกรมการเรียกใช้งานต่างๆ ที่อยู่ในเครื่อง ให้คลิกที่ปุ่ม Start แล้วเลื่อนเมาส์ไปที่ All Programs จะปรากฏโปรแกรมที่มีอยู่ในเครื่องหน้าต่าง (Windows)1. ไตเติลบาร์ (Title bar) แสดงชื่อของโปรแกรมที่ใช้งานอยู่2. เมนูบาร์ (Menu Bar) แสดงเมนูของโปรแกรมใช้ในการเลือกคำสั่ง3. แถบเครื่องมือ (Toolbar) เป็นรูปภาพเล็ก ๆ แทนคำสั่งใช้งานต่าง ๆ4. แถบตำแหน่ง (Addressbar) แสดงตำแหน่ง ณ ขณะนั้น5. มินิไมซ์ (minimize) ปุ่มลดขนาดหน้าต่างหรือปิดหน้าต่าง6. แมกซิไมซ์ (Maximize) ขยายหน้าต่างให้เต็มจอ7. ปุ่มปิดโปแกรม (Close) ใช้ในการปิดโปรแกรม8. ไอคอน (Icon) คือ รูปสัญลักษณ์ที่ใช้เรียกโปรแกรม9. แถบเลื่อน (Scroll Bar) ใช้ในการเลื่อนหน้าจอไปซ้าย ขวา ขึ้นลงตามทิศทางลูกศร10. แถบสถานะ (Status Bar) แสดงสถานะการทำงานWindows ExplorerWindows Explorer คือโปรแกรมที่ Microsoft Windows XP จัดหามาให้เพื่อใช้สำหรับการจัดการในเรื่องของดิสก์ ไฟล์ และโฟลเดอร์ เราสามารถเรียกใช้โปรแกรม Windows Explorer โดยการคลิกที่ปุ่ม Start > All Program > Accessories > Windows Explorerหรือนำเมาส์ไปชี้ที่ปุ่ม Start คลิกเมาส์ขวาจะปรากฏเมนูย่อยขึ้นมา แล้วคลิกคำสั่ง “Explore”ส่วนประกอบของ Windows ExplorerA. Menu Bar ส่วนในการเลือกคำสั่งของโปรแกรมB. Toolbar ส่วนไอคอนที่เป็นรูปภาพ ทำให้การเรียกงานใช้สะดวกขึ้นC. ส่วนแสดงโครงสร้าง เป็นส่วนที่แสดงโครงสร้างของโฟลเดอร์ที่จัดไว้ในระบบD. ส่วนแสดงรายชื่อไฟล์ เป็นส่วนที่แสดงรายชื่อไฟล์และโฟลเดอร์ย่อย (ถ้ามี) ของโฟลเดอร์ที่เลือกไว้ในส่วนแสดงโครงสร้างขณะนั้น

สัปดาห์ที่ 11 งานกลุ่มและเดี่ยว

1. งานที่ POWER Point เรื่องไข้หวัด2009 (เดียว)2. รายงาน เรื่องการติดตั้ง Windows XP โดยแบ่งงานเท่าๆๆกันไปพิม (กลุ่ม)3. ดำเนินการทำPOWER Point เรื่องการติดตั้ง Windows XP โดยสรุป ไม่เกิน20 เฟรม(กลุ่ม)

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 10 วันที่ 16 กรกฎาคม 2552

การทำงานของฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีเปลือกนอก เป็นโลหะแข็ง และมีแผงวงจรสำหรับการควบคุมการทำงานประกบอยู่ที่ด้านล่าง พร้อมกับช่องเสียบสายสัญญาณและสายไฟเลี้ยง ส่วนประกอบภายในจะถูกปิดผนึกไว้อย่างมิดชิด โดยจะเป็นแผ่นดิสก์และหัวอ่านที่บอบบางมาก และไม่ค่อยจะทนต่อการกระทบ กระเทือนได้ ดังนั้น จึงควรที่จะระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เวลาจัดถือไม่ควรให้กระแทกหรือกระเทือน และระมัดระวังไม่ให้มือโดน อุปกรณ์อื่น ๆ ที่อยู่บนแผงวงจร โดยปกติ ฮาร์ดดิสก์ มักจะบรรจุอยู่ในช่องที่เตรียมไว้เฉพาะภายในเครื่อง โดยจะมีการต่อสาย สัญญาณเข้ากับตัวควบคุมฮาร์ดดิสก์ และสายไฟเลี้ยงที่มาจากแหล่งจ่ายไฟด้วยเสมอ ในที่นี้ จะขอแนะนำให้รู้จักกับ ฮาร์ดดิสก์ แบบต่าง ๆ ในเบื้องต้น พอเป็นพื้นฐานในการทำความรู้จักและเลือกซื้อมาใช้งานกัน ชนิดของ ฮาร์ดดิสก์ แบ่งตามอินเตอร์เฟสที่ต่อใช้งานปัจจุบันนี้ ฮาร์ดดิสก์ที่มีใช้งานทั่วไป จะมีระบบการต่อใช้งานแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ EIDE (Enhanced Integrated Drive Electronics) กับ SCSI (Small Computer System Interface) ซึ่งฮาร์ดดิสก์ทั่ว ๆ ไปที่ใช้งานกันตาม เครื่องคอมพิวเตอร์ตามบ้าน มักจะเป็นการต่อแบบ EIDE ทั้งนั้น ส่วนระบบ SCSI จะมีความเร็วของการรับส่ง ข้อมูลที่เร็วกว่า แต่ราคาของฮาร์ดดิสก์จะแพงกว่ามาก จึงนิยมใช้กันในเครื่อง Server เท่านั้นEIDE หรือ Enhance IDE เป็นระบบของ ฮาร์ดดิสก์อินเตอร์เฟสที่ใช้กันมากในปัจจุบันนี้ การต่อไดร์ฟฮาร์ดดิสก์แบบ IDE จะต่อผ่าน สายแพรและคอนเน็คเตอร์จำนวน 40 ขาที่มีอยู่บนเมนบอร์ด ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของการต่อแบบนี้คือ AT Attachment หรือ ATA ต่อมาได้มีการพัฒนาไปเป็นแบบย่อยอื่น ๆ เช่น ATA-2, ATAPI, EIDE, Fast ATA ตลอดจน ATA-33 และ ATA-66 ในปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากเป็นแบบ ATA-66 แล้วสายแพรสำหรับรับส่งสัญญาณ จะต้องเป็นสายแพรแบบที่รองรับการทำงานนั้นด้วย จะเป็นสายแพรที่มีสายข้างใน 80 เส้นแทนครับ ส่วนใหญ่แล้วใน 1 คอนเน็คเตอร์ จะสามารถต่อฮาร์ดดิสก์ได้ 2 ตัวและบนเมนบอร์ด จะมีคอนเน็คเตอร์ให้ 2 ชุด ดังนั้น เราสามารถต่อฮาร์ดดิสก์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เช่นซีดีรอมไดร์ฟ ได้สูงสุด 4 ตัวต่อคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องวิธีการรับส่งข้อมูลของฮาร์ดดิสก์แบบ EIDE ยังแบ่งออกเป็นหลาย ๆ แบบ ในสมัยเริ่มต้น จะเป็นแบบ PIO (Programmed Input Output) ซึ่งเป็นการรับส่งข้อมูลโดยผ่านซีพียู คือรับข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ เข้ามายังซีพียู หรือส่งข้อมูลจากซีพียูไปยัง ฮาร์ดดิสก์ การรับส่งข้อมูลแบบ PIO นี้ยังมีการทำงานแยกออกไปหลายโหมด โดยจะมีความเร็วในกรรับส่งข้อมูลต่าง ๆ กันไป ดังตารางต่อไปนี้PIO mode อัตราการรับส่งข้อมูล (MB./sec) อินเตอร์เฟส 0 3.3 ATA 1 5.2 ATA 2 8.3 ATA 3 11.1 ATA-2 4 16.6 ATA-2 การรับส่งข้อมูลระหว่าง ฮาร์ดดิสก์ กับเครื่องคอมพิวเตอร์อีกแบบหนึ่ง เรียกว่า DMA (Direct Memory Access) คือทำการ รับส่งข้อมูลระหว่างฮาร์ดดิสก์ กับหน่วยความจำโดยไม่ผ่านซีพียู ซึ่งจะกินเวลาในการทำงานของซีพียูน้อยลง แต่ได้อัตราการรับส่ง ข้อมูลพอ ๆ กับ PIO mode 4 และยังแยกการทำงานเป็นหลายโหมดเช่นเดียวกันการรับส่งข้อมูลทาง PIO โดยมีอัตราการรับส่ง ข้อมูลดังตารางต่อไปนี้DMA mode อัตราการรับส่งข้อมูล (MB./sec) อินเตอร์เฟส Single Word0 2.1 ATA 1 4.2 ATA 2 8.3 ATA Multi Word0 4.2 ATA 1 13.3 ATA-2 2 16.6 ATA-2 ฮาร์ดดิสก์ตัวหนึ่งอาจเลือกใช้การรับส่งข้อมูลได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักคือ ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้นั้นสนับสนุนการทำงานแบบใดบ้าง ชิปเซ็ตและ BIOS ของเมนบอร์ดต้องสนับสนุนการทำงานในแบบต่าง ๆ และอย่างสุดท้านคือ ระบบปฏิบัติการบางตัว จะมีความสามารถเปลี่ยนหรือเลือกวิธีการรับส่งข้อมูลในแบบต่าง ๆ ได้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น Windows NT, Windows 98 หรือ UNIX เป็นต้นถัดจาก EIDE ในปัจจุบันก็มีการพัฒนามาตราฐานการอินเตอร์เฟส ที่มีความเร็วสูงยิ่งขึ้นไปอีก คือแบบ Ultra DMA/2 หรือเรียกว่า ATA-33 (บางทีเรียก ATA-4) ซึ่งเพิ่มความเร็วขึ้นไป 2 เท่าเป็น 33 MHz และแบบ Ultra DMA/4 หรือ ATA-66 (หรือ ATA-5) ซึ่งกำลังเป็นมาตราฐานอยู่ในปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดดังนี้DMA mode อัตราการรับส่งข้อมูล (MB./sec) อินเตอร์เฟส Ultra DMA/2(UDMA2 หรือ UDMA/33) 33.3 ATA-33 (ATA-4) Ultra DMA/4(UDMA4 หรือ UDMA/66) 66.6 ATA-66 (ATA-5) นอกจากนี้ ปัจจุบันเริ่มจะเห็น ATA-100 กันบ้างแล้วในฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ ๆ บางยี่ห้อSCSI เป็นอินเตอร์เฟสที่แตกต่างจากอินเตอร์เฟสแบบอื่น ๆ มาก ความจริงแล้ว SCSI ไม่ได้เป็น อินเตอร์เฟสสำหรับ ฮาร์ดดิสก์ โดยเฉพาะ ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดได้แก่ อุปกรณ์ที่จะนำมาต่อกับอินเตอร์เฟสแบบนี้ จะต้องเป็นอุปกรณ์ที่มีความฉลาดหรือ Intelligent พอสมควร (มักจะต้องมีซีพียู หรือหน่วยความจำของตนเองในระดับหนึ่ง) โดยทั่วไป การ์ดแบบ SCSI จะสามารถต่อ อุปกรณ์ได้ 7 ตัว แต่การ์ด SCSI บางรุ่นอาจต่ออุปกรณ์ได้ถึง 14 ตัว (SCSI-2) ในทางทฤษฎีแล้ว เราสามารถนำอุปกรณ์หลายชนิด มาต่อเข้าด้วยกันผ่าน SCSI ได้เช่น ฮาร์ดดิสก์ เทปไดร์ฟ ออปติคัลดิสก์ เลเซอร์พรินเตอร์ หรือแม้กระทั่งเมาส์ ถ้าอุปกรณ์เหล่านั้น มีอินเตอร์เฟสที่เหมาะสม มาดูความเร็วของการรับส่งข้อมูลของ SCSI แบบต่าง ๆ กันดีกว่าSCSI Fast Wide Fast Wide Ultra UltraWide Ultra 2 Ultra 3(Ultra160)บัสข้อมูล (บิต) 8 8 19 16 32 16 32 16 32 ความถี่ (MHz) 5 10 5 10 10 20 20 40 40 รับส่งข้อมูล (MB/s) 5 10 10 20 40 40 80 80 160 คอนเน็คเตอร์ SCSI-1 SCSI-2 SCSI-2 SCSI-2 SCSI-2 SCSI-3 SCSI-3 SCSI-3 SCSI-3 ประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ขึ้นอยู่กับอะไรบ้างความเร็วในการทำงานของฮาร์ดดิสก์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น ความเร็งในการหมุน กลไกภายใน ความจุข้อมูล ชนิดของ คอนโทรลเลอร์ ขนาดของบัฟเฟอร์ และระบบการเชื่อต่อที่ใช้เป็นต้น ฮาร์ดดิสก์ที่มีกลไกที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดก็ได้ความเร็วในการหมุนของฮาร์ดดิสก์ความเร็วในการหมุนของดิสก์ เป็นสิ่งที่มีผลกับความเร็วในการอ่านและบันทึกข้อมูลมากทีเดียว ฮาร์ดดิสก์ทั่วไป ถ้าเป็นรุ่นธรรมดา จะหมุนอยู่ที่ประมาณ 5,400 รอบต่อนาที (rpm) ส่วนรุ่นที่เร็วหน่อยก็จะเพิ่มเป็น 7,200 รอบต่อนาที ซึ่งถือเป็นมาตราฐาน อยู่ในขณะนี้ และถ้าเป็นรุ่นใหญ่หรือพวก SCSI ในปัจจุบันก็อาจถึง 10,000 รอบหรือมากกว่านั้น ฮาร์ดดิสก์ที่หมุนเร็ว ก็จะสามารถ อ่านข้อมูลในแต่ละเซ็คเตอร์ได้เร็วกว่าตามไปด้วย ทำให้ความเร็วการรับส่งข้อมูลภายใน มีค่าสูงกว่า ฮาร์ดดิสกที่หมุนมากรอบกว่า ก็อาจมีเสียงดัง ร้อน และสึกหรอมากกว่า แต่โดยรวมทั่วไปแล้ว หากราคาไม่เป็นข้อจำกัด ก็ควรเลือกฮาร์ดดิสก์ที่หมุนเร็ว ๆ ไว้ก่อนอินเตอร์เฟสของฮาร์ดดิสก์ดังที่อธิบายแล้วว่า ฮาร์ดดิสก์อินเตอร์เฟสที่นิยมใช้งานกันมากที่สุดสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันได้แก่ แบบ ATA-33 และ ATA-66 ซึ่งมีอัตราการรับส่งข้อมูลที่สูงกว่าแบบเก่า หากต้องการอัตราการรับส่งข้อมูลที่เร็วกว่านี้ ก็ต้องเลือกอินเตอร์เฟสแบบ SCSI ซึ่งจะมีข้อดีคือ มีความเร็วสูงกว่าแบบ EIDE มากและยังสามารถต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ถึง 7 ตัวด้วยกัน โดยที่ราคาก็ยังคงจะ แพงกว่าแบบ EIDE ด้วย จะเหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้ความเร็วสูงเช่น Server ของระบบ LAN เป็นต้นประเด็นสำคัญของการต่อฮาร์ดดิสก์แบบ IDE ก็คือ แต่ละสายที่ต่อออกมานั้น ตามปกติจะต่อได้ 2 ไดร์ฟ โดยฮาร์ดดิสก์ ที่อยู่บนสาย คนละเส้นจะทำงานพร้อมกันได้ แต่ถ้าอยู่บนสายเส้นเดียวกันจะต้องทำทีละตัว คือไม่ทำงานกับ Master ก็ Slave ตัวเดียวเท่านั้น ในเวลาหนึ่ง ๆ และหากเป็นอุปกรณ์ที่ทำการรับส่งข้อมูลคนละแบบบนสายเดียวกัน เช่นการต่อฮาร์ดดิสก์แบบ UltraDMA/66 ร่วมกับซีดีรอมแบบ PIO mode 4 อุปกรณ์ทุกตัวบนสายเส้นนั้น ก็จะต้องทำตามแบบที่ช้ากว่า ดังนั้น จึงไม่ควรต่อฮาร์ดดิสก์ที่เร็ว ๆ ไว้กับซีดีรอมบนสายเส้นเดียวกัน เพราะจะทำให้ฮาร์ดดิสก์ช้าลงตามไปด้วยหน่วยความจำ แคช หรือ บัฟเฟอร์ ที่ใช้อีกวิธีที่ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ ใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบัน คือการใช้หน่วยความจำแคช หรือบัฟเฟอร์ (Buffer) เพื่อเป็นที่พักข้อมูลก่อนที่จะส่งไปยัง คอมโทรลเลอร์บนการ์ด หรือเมนบอร์ด แคชที่ว่านี้จะทำงานร่วมกับฮาร์ดดิสก์ โดยในกรณีอ่านข้อมูล ก็จะอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ ในส่วนที่คาดว่าจะถูกใช้งานต่อไปมาเก็บไว้ล่วงหน้า ส่วนในกรณีบันทึกข้อมูล ก็จะรับข้อมูลมาก่อนเพื่อเตรียมที่จะเขียนลงไปทันที ที่ฮาร์ดดิสก์ว่าง แต่ทั้งหมดนี้จะทำอยู่ภายในตัวฮาร์ดดิสก์เอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับซีพียูหรือแรมแต่อย่างใดหน่วยความจำหรือแคชนี้ ในฮาร์ดดิสก์รุ่นราคาถูกจะมีขนาดเล็ก เช่น 128KB หรือบางยี่ห้อก็จะมีขนาด 256-512KB แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ราคาสูงขึ้นมา จะมีการเพิ่มจำนวนหน่วยความจำนี้ไปจนถึง 2MB เลยทีเดียว ซึ่งจากการทดสอบพบว่า มีส่วนช่วย ให้การทำงานกับฮาร์ดดิสก์นั้นเร็วขึ้นมาก ถึงแม้กลไกการทำงานของฮาร์ดดิสก์รุ่นนั้น ๆ จะช้ากว่าก็ตาม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการทำงานของโปรแกรมด้วยปัจจัยอื่น ๆ ในการเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์หลังจากที่ได้พอจะรู้จักกับฮาร์ดดิสก์แบบต่าง ๆ กันแล้ว หากต้องการซื้อฮาร์ดดิสก์ที่จะนำมาใช้งานสักตัว ปัจจัยต่าง ๆ ด้านบนนี้ น่าจะเป็นตัวหลักในการกำหนดรุ่นและยี่ห้อของฮาร์ดดิสก์ที่จะซื้อได้ แต่ทั้งนี้ ไม่ควรที่จะมองข้ามปัจจัยอื่น ๆ เหล่านี้ไปด้วยความจุของข้อมูล ยิ่งฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุมาก ราคาก็จะแพงขึ้นไป เลือกให้พอดีกับความต้องการแต่ไปเน้นเรื่องความเร็วดีกว่าครับ เช่นหากมีขนาด 15G 7,200 rpm กับ 20G 5,400 rpm ที่ราคาใกล้เคียงกัน ผมมอลว่าน่าจะเลือกตัว 15G 7,200 rpm ดีกว่าความทนทานและการรับประกันอย่าลืมว่า ฮาร์ดดิสก์ เป็นอุปกรณ์ที่ต้องทำงานตลอดเวลา มีการเคลื่อนไหวต่าง ๆ มากมายอยู่ภายในและโอกาสที่จะเสียหายมีได้มาก โดยเฉพาะเรื่องของความร้อนและการระบายความร้อนที่ไม่ดีในเครื่อง ก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียหาย นอกจากนี้ การเกิด แรงกระแทกแรง ๆ ก็เป็นสาเหตุหลักของ การเสียหายที่พบได้บ่อย ดังนั้น ปัจจัยที่ค่อนข้างสำคัญในการเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ คือ เรื่องระยะเวลาในการรับประกันสินค้า และระยะเวลาในการส่งเคลม ว่าจะช้าหรือเร็วกว่าจะได้ของกลับคืนมาใช้งาน รวมทั้งร้านค้า ที่เราไปซื้อด้วย ที่ในบางครั้ง เวลาซื้อสินค้า จะบอกว่าเปลี่ยนได้ เคลมเร็ว แต่เวลาที่มีปัญหาจริง ๆ ก็จะไม่ค่อยยอมเปลี่ยนสินค้าให้เราแบบง่าย ๆ

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 9 วัน ที่ 9 กรกฎาคม 2552





Mainboard
เมนบอร์ด คือ แผงวงจรหลักที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนทางอิเล็คทรอนิกส์ต่างๆ เพื่อให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งเมนบอร์ดเปรียบเสมือนศูนย์กลางในการทำงาน และเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น CPU, RAM, Hard Disk, CD-ROM, Floppy Disk, VGA Card เป็นต้น
ลักษณะของเมนบอร์ด และส่วนประกอบต่างๆ บนเมนบอร์ด
ในอดีตเราแบ่งเมนบอร์ดออกเป็น 2 ประเภท คือ AT กับ ATX แต่ในปัจจุบันนี้ คงมีเพียง ATX เท่านั้น ที่นิยมใช้กัน เมนบอร์ดแบบ ATX นี้ ยังแบ่งได้อีก 2 แบบ คือ ATX และ MicroATX ซึ่งมีข้อแตกต่างกันในเรื่องของขนาด สล็อต และอุปกรณ์ออนบอร์ด โดยเมนบอร์ดแบบ MicroATX จะมีขนาดเล็กกว่า มีจำนวนสล็อตน้อยกว่า และจะมีการติดตั้งอุปกรณ์ออนบอร์ดไว้ให้อย่างครบถ้วน เช่น ระบบแสดงผลออนบอร์ด ซึ่งจะทำให้เมนบอร์ดมีขนาดเล็ก เพราะมีการติดตั้งสล็อตสำหรับเพิ่มเติมอุปกรณ์ออกไป
ส่วนประกอบของเมนบอร์ดที่สำคัญๆ มีดังนี้
1. ชิปเซ็ต (Chipset)เมนบอร์ดจะมีความสามารถในการรองรับกับอุปกรณ์ใหม่ๆ ได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับชิปเซ็ตเป็นหลัก สำหรับหน้าที่ของชิปเซ็ต คือ ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่บนเมนบอร์ด สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ หลักๆ คือ
1.1 NorthBridge ชิปเซ็ตที่กำหนดว่าเมนบอร์ดของคุณนั้น มีความสามารถในการรองรับความเร็วของซ๊พียูได้ในระดับไหน หรือ สนับสนุนหน่วยความจำประเภทไหนได้บ้าง โดยชิปเซ็ตนี้มีหน้าที่ในการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำงานด้วยความเร็วระบบบัสสูงๆ ไม่ว่าจะเป็นซีพียู หน่วยความจำ และการ์ดแสดงผล
1.2 SouthBridge ทำหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยความเร็วระบบบัสไม่สูงมากนัก เช่น พอร์ต IDE ระบบบัส PCI และอื่นๆ โดยชิปเซ็ต SouthBridge ที่เด่นๆ ในปัจจุบัน คือ ICH4 ของอินเทล ซึ่งเป็นการรวมความสามารถของ ยูเอสบี 2.0 และ ATA 100 มาไว้ในตัวด้วย ส่วนถ้าหากเป็นของทางค่าย SiS ก็จะมีตัว SiS961และ VIA VT8233A ของฝั่ง VIA

2. สล็อต หรือ ซ็อกเก็ตสำหรับติดตั้งซีพียู
เป็นส่วนที่ใช้สำหร้บเสียบซีพียูลงไป ซึ่งเมนบอร์ดส่วนไหญ่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ จะเป็นแบบซ็อกเก็ตมากกว่าที่จะเป็นแบบสล็อต เพราะมีต้นทุนในการผลิตที่ถูกกว่านั่นเอง เรามารู้จักสล็อต และซ็อกเก็ตสำหรับติดตั้งซีพียูกันดีกว่า
2.1 Slot สำหรับอินเทอร์เฟตแบบสล็อตนี้ ก็จะมีทั้งแบบสล็อต 1 สล็อต A ขึ้นอยู่กับซีพียูที่คุณใช้ หากเป็นของทางฝั่งอินเทล ก็จะเป็นแบบสล็อต 1 หรือหากเป็นเอเอ็มดี ก็ใช้แบบสล็อต A แต่ในปัจจุบันนี้ เราไม่ค่อยพบเห็นเมนบอร์ดที่เป็นแบบสล็อตแล้ว ส่วนใหญ่จะใช้กับซีพียูที่มีสถาปัตยกรรมแบบเก่า
2.2 Socket รูปแบบของเมนบอร์ดที่เป็นชนิดซ็อกเก็ตในปัจจุบันนี้ เป็นที่นิยม และ แพร่หลายมาก ซึ่งเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมา ก็เป็นแบบซ้อกเก็ตหมดแล้วหากเป็นซีพียูเพนเทียม โฟร์ ก็จะมีอินเทอร์เฟตแบบซ็อกเก็ต 478 หรือถ้าเป็นตระกูลเพนเทียม ทรี และ เซลเลอรอน จะจะเป็นแบบซ้อกเก็ต 370 สำหรับซีพียูในตระกูลเอเอ็มดี ก็จะเป็นสถาปัตยกรรมแบบซ็อกเก็ต A หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ซ็อกเก็ต 462 โดยจำนวนตัวเลขที่เห็นอยู่นั้น แสดงถึงจำนวนขาของซีพียูนั่นเอง

3. BIOS (Basic Input/Output System)
เป็นชิปสำหรับใช้เก็บโปรแกรม และข้อมูลขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการบูตระบบของคอมพิวเตอร์และควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ การเซ็ตค่าต่างๆ ของอุปกรณ์ทางด้านฮาร์ดแวร์ ไบออสรุ่นใหม่ๆ จะสนับสนุนการทำงานแบบ Plug & Play และเราสามารถทำการอัพเดตไบออสให้รองรับกับอุปกรณ์ใหม่ๆ ได้โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Flash ROM ซึ่งหน่วยความจำแบบ ROM นี้อาศัยไฟเลี้ยงจากแบตเตอรี่ก้อนเล็กๆ ที่อยู่บนเมนบอร์ด เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลได้แม้ปิดเครื่อง

4. สล็อตสำหรับติดตั้งหน่วยความจำหลัก
ในปัจจุบัน เมนบอร์ดส่วนใหญ่มักจะมีสล็อตติดตั้งหน่วนความจำหลักมาให้อยู่ 3 ชนิด ได้แก่ หน่วนความจำแบบ SDRAM, DDR SDRAM สล็อตสำหรับติดตั้งหน่วยความจำ มีลักษณะเป็นแถวเรียงกันอยู่ใกล้ๆกับชิปเซ็ต และซีพียู
4.1 สล็อตสำหรับ SDRAM เป็นสล็อตแบบ DIMM ขนาด 168 พิน สังเกตได้จากในภาพว่าใน 1 สล็อต จะมีช่องแบ่งไว้ 2 จุด ใช้ได้กับเฉพาะหน่วยความจำแบบ SDRAM เท่านั้น
4.2 สล็อต DDR SDRAM สำหรับสล็อตแบบนี้ เราเรียกสล็อตแบบ DDR DIMM มีขนาด 184 พิน โดยข้อแตกต่างที่สังเกตได้ง่าย คือ ตรงส่วนของสล็อต จะมีช่องแบ่งเพียงแค่ 1 จุด ใช้ได้กับหน่วยความจำแบบ DDR SDRAM
4.3 สล็อตสำหรับ RDRAM หรือเียนกันว่า RAMBUS ซึ่งออกแบบมาสำหรับการใช้งานร่วมกับซีพียูเพนเทียม โฟร์ โดยเฉพาะ เพราะเป็นหน่วยความจำที่ให้ประสิทธิภาพสูงที่สุดในบรรดาหน่วยความจำชนิดอื่น สล็อตโมดูลของหน่วยความจำแบบ 184 พิน ซึ่งสังเกตได้จากช่องที่แบ่งจะอยู่ตรงกลาง 2 จุด

5. สล็อตเสริมสำหรับเสียบอุปกรณ์เพิ่มเติมต่างๆ
ในเมนบอร์ดที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ได้ติดตั้งสล็อตเสริมเพิ่มเติมอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นต่อการใช้งานมาให้ด้วย ซึ่งสล็อตที่เราพบเห็นอยู่ในปัจจุบันประกอบด้วย
5.1 สล็อต PCI (Peripheral Component Interconect) เป็นสล็อตลักษณะยาวๆ สีขาว แต่ช่วงหลังๆ ผู้ผลิตต่างออกแบบให้มีสีสันที่สวยงามเพื่อดึงดูดความสนใจ สล็อต PCI นี้ เป็นช่วงสำหรับรองรับกับการ์ดต่างๆ ที่มีอินเทอร์เฟซแบบ PCI มีการส่งข้อมูลครั้งละ 32 บิต และมีความเร็ว 33 เมกะเฮิรตซ์
5.2 สล็อต ISA (Industry Standard Architecture) สำหรับสล็อตแบบนี้ มีการส่งข้อมูลครั้งละ 16 บิต มีลักษณะสีดำ รูปร่างของสล็อตจะมีขนาดที่ยาวกว่าสล็อต PCI เล็กน้อย ซึ่งปัจจุบันเราแทบไม่ค่อยได้พบเห็นสล็อต ISA ในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆ แล้ว ทั้งนี้เพราะการ์ดที่ออมมามักจะใช้อินเทอร์เฟซแบบ PCI กันหมดแล้ว
5.3 สล็อต AGP (Accelerated Graphics Port) สล็อต AGP มีความเร็วในการทำงานเป็น 66 เมกะเฮิรตซ์ 32 บิต และสนับสนุนเทคโนโลยี AGP2x ที่ใช้ช่วงแบนด์วิดธ์ในการรับ-ส่ง ข้อมูลได้มากถึง 2.1 กิกะไบต์ต่อวินาที สำหรับสล็อต AGP จะมีการเชื่อมต่อกับ Chipset ของระบบแบบ Point-to-Point ซึ่งจะช่วยให้การส่งผ่านข้อมูล ระหว่างการ์ดแสดงผลกับชิปเซ็ตของระบบทำได้เร็วขึ้น และยังมีเส้นทางเฉพาะ สำหรับติดต่อกับหน่วยความจำหลักของระบบ เพื่อใช้ทำการ Render ภาพ แบบสามมิติ ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
5.4 สล็อต CNR (Communication and Networking Riser) ในเมนบอร์ดบางรุ่น บางยี่ห้อจะติดตั้งสล็อต CNR มาให้ด้วย ซึ่งสล็อตชนิดนี้ ใช้สำหรับใส่การ์ดจำพวกเน็ตเวิร์ค และการ์ดโมเด็ม ที่เป็นแบบรวมความสามารถทั้งสองอย่างเช้าด้วยกัน

6. IDE Connector
เป็นส่วนที่ใช้ต่อกับอุปกรณ์จำพวกดิสก์ไดรฟ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอม ดีวีดีรอม หรือ ฟลอปปี้ดิสก์ ซึ่งอินเทอร์เฟซของ IDE ที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับดิสก์ไดรฟ์นี้ ปัจจุบันได้มีการพัฒนามาถึงเทคโนโลยี ATA 100 และ ATA 133 แล้ว ซึ่งจะมีอัตราการโอนถ่ายข้อมูลอยู่ที่ 100 และ 133 เมกะไบต์ต่อวินาที สำหรับการทำงานของ IDE นี้ ถูกควบคุมโดยชิปเซ็ตด้าน SouthBridge และในอนาคตก็จะมีเทคโนโลยี Serial ATA ออกมาแทนเทคโนโลยี IDE แล้วด้วย เพราะเทคโนโลยี Serial ATA นี้ สามารถพัฒนาให้มีความเร็วในการ รับ-ส่ง ข้อมูลได้มากกว่า 150 เมกะไบต์ต่อวินาที

7. พอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกต่างๆ
พอร์ตต่างๆ เหล่านี้ จะอยู่ด้านหลังของเคส ในกรณีที่คุณประกอบเมนบอร์ดลงไปในเคสแล้ว โดยประกอบด้วย พอร์ต PS/2 ที่ใช้สำหรับต่อเมาส์ และคีย์บอร์ด อีกทั้งยังมีพอร์ต Serial หรือ พอร์ตอนุกรม ซึ่งเป็นคอนเน็กเตอร์แบบ DB-9 มี 9 ขา ต่อมาก็เป็นพอร์ตพาราเรลสำหรับต่อพรินเตอร์ หรือ สแกนเนอร์ หากเป็นเมนบอร์ดที่มีระบบเสียงออนบอร์ด ก็จะเพิ่มพอร์ต Audio มาให้ด้วย หรือถ้าเป็นระบบการแสดงผลออนบอร์ด ก็จะเพิ่มพอร์ต DB-15 สำหรับต่อกับจอมอนิเตอร์ นอกจากนี้ ยังมีพอร์ต ยูเอสบี ซึ่งแบ่งเป็น USB เวอร์ชัน 1.1 ที่มีความเร็ว 12 เมกะบิตต่อวินาที และ USB เวอร์ชัน 2.0 มีความเร็ว 480 เมกะบิตต่อวินาที

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 8 2 กรกฎาคม 2552

ปัญหาของแรมที่พบบ่อย ๆ และการแก้ไข
มีเสียงร้องหลังจากเปิดเครื่องและไม่มีภาพ มีสาเหตุดังนี้


1. เสียบ RAM ไม่แน่น
วิธีแก้ไข : ให้ลองเปิดฝาเครื่องแล้วขยับ RAM ให้แน่น

2. เกิดจากหน้าสัมผัสของ RAM ไม่สะอาด
วิธีแก้ไข : เปิดฝาเครื่องออกมาแล้วให้ลองขยับ RAM ให้แน่น ถ้ายังไม่หายให้ลองถอด RAM ออกมาทำความสะอาดหน้าสัมผัส โดยใช้ยางลบดินสอหรือน้ำยา

3. เกิดจากการเสียบ RAM ผิดแถว
วิธีแก้ไข : เมนบอร์ดบางรุ่นต้องเสียบ RAM ไล่จากแถวที่ 1 ขึ้นไป ให้ลองนำ RAM มาเสียบที่ Slot ที่ 1 และไล่ลงไปในกรณีที่มี RAM หลายแถว

4. RAM ที่ใส่ไปไม่ตรงกับชนิดที่เมนบอร์ดรับได้
วิธีแก้ไข : ตรวจสอบกับคู่มือเมนบอร์ดว่าเป็นชนิดที่ถูกต้องและขนาดที่ไม่เกินที่เมนบอร์ดกำหนดในแต่ละแถว ถ้าไม่ถูกให้นำ RAM ชนิดที่ถูกต้องมา

5. RAM เสีย
วิธีแก้ไข : ให้ลองนำ RAM ตัวอื่นที่ใช้ได้มาเสียบแทนในช่องเดียวกัน ถ้าหากใช้ได้แสดงว่า RAM เสีย ถ้า RAM เสียก็ต้องซื้อมา เปลี่ยนสถานเดียว

6.ใช้แล้วเครื่องแฮงก์ง่าย อาจเกิดจากการตั้งค่าความถี่ที่ใช้กับ RAM ไม่ถูกต้อง
วิธีแก้ไข : ดูที่สเปค (Spec) ของ RAM สามารถทำงานที่ความถี่เท่าไร และให้ตั้งให้ถูกต้อง โดยเซ็ทที่ BIOS หรือเมนบอร์ด บางรุ่นต้องเซ็ทที่ Jumper บนเมนบอร์ด โดยสามารถดูรายละเอียดจากคู่มือของเมนบอร์ดนั้นๆ

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ขนมไทย

ขนมไทย






ขนมไทย เป็นของหวานที่ทำและรับประทานกันในอาณาจักรไทย มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานที่ปราณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆ





ประวัติความเป็นมาของขนมไทย
ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น
ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋ม ประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมี
ฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
สมัยรัตนโกสินทร์
จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี กล่าวไว้ว่าในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ 2,000 รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ รวมถึงตำราขนมไทยด้วย จึงนับได้ว่าวัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือแม่ครัวหัวป่าก์ เขียนโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือเล่มนี้ มีรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระได้แก่ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ขนมลืมกลืน ข้วเหนียวแก้ว วุ้นผลมะปราง
ในสมัยต่อมาเมื่อการค้าเจริญขึ้นในตลาดมีขนมนานาชนิดมาขาย ทั้งขายอยู่กับที่ แบกกระบุง
หาบเร่ และมีการปรับปรุงการบรรจุหีบห่อไปตามยุคสมัย เช่นในปัจจุบันมีการบรรจุในกล่องโฟมแทนการห่อด้วยใบตองในอดีต


การแบ่งประเภทของขนมไทย
แบ่งตามวิธีการทำให้สุกได้ดังนี้
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการกวน ส่วนมากใช้กระทะทอง กวนตั้งแต่เป็นน้ำเหลวใสจนงวด แล้วเทใส่พิมพ์หรือถาดเมื่อเย็นจึงตัดเป็นชิ้น เช่น
ตะโก้ ขนมลืมกลืน ขนมเปียกปูน ขนมศิลาอ่อน และผลไม้กวนต่างๆ รวมถึง ข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวแก้ว และกะละแม
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการนึ่ง ใช้
ลังถึง บางชนิดเทส่วนผสมใส่ถ้วยตะไลแล้วนึ่ง บางชนิดใส่ถาดหรือพิมพ์ บางชนิดห่อด้วยใบตองหรือใบมะพร้าว เช่น ช่อม่วง ขนมชั้น ข้าวต้มผัด สาลี่อ่อน สังขยา ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมใส่ไส้ ขนมเทียน ขนมน้ำดอกไม้
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการเชื่อม เป็นการใส่ส่วนผสมลงในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือดจนสุก ได้แก่
ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง เม็ดขนุน กล้วยเชื่อม จาวตาลเชื่อม
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการทอด เป็นการใส่ส่วนผสมลงในกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ จนสุก เช่น กล้วยทอด ข้าวเม่าทอด
ขนมกง ขนมค้างคาว ขนมฝักบัว ขนมนางเล็ด
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการนึ่งหรืออบ ได้แก่ ขนมหม้อแกง ขนมหน้านวล ขนมกลีบลำดวน ขนมทองม้วน สาลี่แข็ง ขนมจ่ามงกุฏ นอกจากนี้ อาจรวม
ขนมครก ขนมเบื้อง ขนมดอกลำเจียกที่ใช้ความร้อนบนเตาไว้ในกลุ่มนี้ด้วย
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการต้ม ขนมประเภทนี้จะใช้หม้อหรือกระทะต้มน้ำให้เดือด ใส่ขนมลงไปจนสุกแล้วตักขึ้น นำมาคลุกหรือโรยมะพร้าว ได้แก่
ขนมถั่วแปบ ขนมต้ม ขนมเหนียว ขนมเรไร นอกจากนี้ยังรวมขนมประเภทน้ำ ที่นิยมนำมาต้มกับกะทิ หรือใส่แป้งผสมเป็นขนมเปียก และขนมที่กินกับน้ำเชื่อและน้ำกะทิ เช่น กล้วยบวชชี มันแกงบวด สาคูเปียก ลอดช่อง ซ่าหริ่ม



ขนมไทยแต่ละภาค

ขนมไทยภาคเหนือ
ส่วนใหญ่จะทำจากข้าวเหนียว และส่วนใหญ่จะใช้วิธีการต้ม เช่น ขนมเทียน ขนมวง ข้าวต้มหัวหงอก มักทำกันในเทศกาลสำคัญ เช่นเข้าพรรษา สงกรานต์
ขนมที่นิยมทำในงานบุญเกือยทุกเทศกาลคือขนมใส่ไส้หรือขนมจ๊อก ขนมที่หาซื้อได้ทั่วไปคือ ขนมปาดซึ่งคล้ายขนมศิลาอ่อน ข้าวอีตูหรือข้าวเหนียวแดง ข้าวแตนหรือข้าวแต๋น ขนมเกลือ ขนมที่มีรับประทานเฉพาะฤดูหนาว ได้แก่ ข้าวหนุกงา ซึ่งเป็นงาคั่วตำกับข้าวเหนียว ถ้าใส่น้ำอ้อยด้วยเรียกงาตำอ้อย ข้าวแคบหรือ
ข้าวเกรียบว่าว ลูกก่อ ถั่วแปะยี ถั่วแระ ลูกลานต้ม
ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขนมพื้นบ้านได้แก่
ขนมอาละหว่า ซึ่งคล้ายขนมหม้อแกง ขนมเปงม้ง ซึ่งคล้ายขนมอาละหว่าแต่มีการหมักแป้งให้ฟูก่อน ขนมส่วยทะมินทำจากข้าวเหนียวนึ่ง น้ำตาลอ้อยและกะทิ ในช่วงที่มีน้ำตาลอ้อยมากจะนิยมทำขนมอีก 2 ชนิดคือ งาโบ๋ ทำจากน้ำตาลอ้อยเคี่ยวให้เหนียวคล้ายตังเมแล้วคลุกงา กับ แปโหย่ ทำจากน้ำตาลอ้อยและถั่วแปยี มีลักษณะคล้ายถั่วตัด

ขนมไทยภาคกลาง
ส่วนใหญ่ทำมาจากข้าวเจ้า เช่น ข้าวตัง นางเล็ด ข้าวเหนียวมูล และมีขนมที่หลุดลอดมาจากรั้ววัง จนแพร่หลายสู่สามัญชนทั่วไป เช่น ลูกชุบ หม้อข้าวหม้อแกง ฝอยทอง ทองหยิบ เป็นต้น

ขนมไทยภาคอีสาน
เป็นขนมที่ทำกันง่ายๆ ไม่พิถีพิถันมากเหมือนขนมภาคอื่น ขนมพื้นบ้านอีสานได้แก่ ข้าวจี่
บายมะขามหรือมะขามบ่ายข้าว ข้าวโป่ง นอกจากนั้นมักเป็นขนมในงานบุญพิธี ที่เรียกว่า ข้าวประดับดิน โดยชาวบ้านนำข้าวที่ห่อใบตอง มัดด้วยตอกแบบข้าวต้มมัด กระยาสารท ข้าวทิพย์ ข้าวยาคู ขนมพื้นบ้านของจังหวัดเลยมักเป็นขนมง่ายๆ เช่น ข้าวเหนียวนึ่งจิ้มน้ำผึ้ง ข้าวบ่ายเกลือ คือข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนจิ้มเกลือให้พอมีรสเค็ม ถ้ามีมะขามจะเอามาใส่เป็นไส้เรียกมะขามบ่ายข้าว น้ำอ้อยกะทิ ทำด้วยน้ำอ้อยที่เคี่ยวจนเหนียว ใส่ถั่วลิสงคั่วและมะพร้าวซอย ข้าวพองทำมาจากข้าวตากคั่วใส่มะพร้าวหั่นเป็นชิ้นๆ และถั่วลิสงคั่ว กวนกับน้ำอ้อยจนเหนียวเทใส่ถาด ในงานบุญต่างๆจะนิยมทำขนมปาด (คล้ายขนมเปียกปูนของภาคกลาง) ลอดช่อง และขนมหมก (แป้งข้าวเหนียวโม่ ปั้นเป็นก้อนกลมใส่ไส้กระฉีก ห่อเป็นสามเหลี่ยมคล้ายขนมเทียน นำไปนึ่ง)

ขนมไทยภาคใต้
ชาวใต้มีความเชื่อในเทศกาลวันสารท เดือนสิบ จะทำบุญด้วยขนมที่มีเฉพาะในท้องถิ่นภาคใต้เท่านั้น เช่น ขนมลา ขนมพอง ข้าวต้มห่อด้วยใบกะพ้อ ขนมบ้าหรือขนมลูกสะบ้า ขนมดีซำหรือเมซำ ขนมเจาะหูหรือเจาะรู ขนมไข่ปลา ขนมแดง เป็นต้น




วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

RAM










แรมแบบ DDRAM
RAM
แรม (RAM: Random Access Memory หน่วยความจำเข้าถึงโดยสุ่ม หรือหน่วยความจำชั่วคราว) เป็นหน่วยความจำหลัก ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้ อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร ซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรือดิสก์ ที่มีข้อจำกัดในการอ่านและเขียนข้อมูล ที่ต้องทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อกำจัดแบบรอม ที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว
ข้อมูลในแรม อาจเป็นโปรแกรมที่กำลังทำงาน หรือข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ของโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ถูกปิดลง เนื่องจากหน่วยความจำชนิดนี้ จะเก็บข้อมูลได้เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้น

ประวัติ

แรมขนาด 4 เมกะบิตของเครื่อง VAX 8600 ประมาณปี 2529



เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้แรมในการเก็บโปรแกรมและข้อมูลระหว่างการประมวลผล คุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของแรมคือความเร็วที่ใช้เข้าหนึ่งตำแหน่งต่างๆ ในหน่วยความจำมีค่าเท่าๆ กัน ซึ่งต่างจากเทคโนโลยีอื่นบางอย่างซึ่งต้องใช้เวลารอกว่าที่บิตหรือไบต์จะมาถึง
ระบบแรกๆ ที่ใช้หลอดสุญญากาศทำงานคล้ายกับแรมในสมัยปัจจุบันถึงแม้ว่าอุปกรณ์จะเสียบ่อยกว่ามาก หน่วยความจำแบบแกนเฟอร์ไรต์ (core memory) ก็มีคุณสมบัติในการเข้าถึงข้อมูลแบบเดียวกัน แนวความคิดของหน่วยความจำที่ทำจากหลอดและแกนเฟอร์ไรต์ก็ยังใช้ในแรมสมัยใหม่ที่ทำจากวงจรรวม
หน่วยความจำหลักแบบอื่นมักเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่มีเวลาเข้าถึงข้อมูลไม่เท่ากัน เช่น หน่วยความจำแบบดีเลย์ไลน์ (delay line memory) ที่ใช้คลื่นเสียงในท่อบรรจุปรอทในการเก็บข้อมูลบิต หน่วยความจำแบบดรัม ซึ่งทำงานใกล้เคียงฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบัน เป็นข้อมูลในรูปของแม่เหล็กในแถบแม่เหล็กรูปวงกลม
แรมหลายชนิดมีคุณสมบัติ volatile หมายถึงข้อมูลที่เก็บจะสูญหายไปถ้าปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แรมสมัยใหม่มักเก็บข้อมูลบิตในรูปของประจุไฟฟ้าในตัวเก็บประจุ ดังเช่นกรณี ไดนามิคแรม หรือในรูปสถานะของฟลิปฟล็อป ดังเช่นของ สแตติกแรม
ปัจจุบันมีการพัฒนาแรมแบบ non-volatile ซึ่งยังเก็บรักษาข้อมูลถึงแม้ว่าไม่มีไฟเลี้ยงก็ตาม เทคโนโลยีที่ใช้ ก็เช่น เทคโนโลยีนาโนทิวจากคาร์บอน (carbon nanotube) และ ปรากฏการณ์ magnetic tunnel
ในฤดูร้อนปี พ.ศ. 2546 มีการเปิดตัวแรมแบบแม่เหล็ก (Magnetic RAM, MRAM) ขนาด 128 Kib ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับ 0.18 ไมครอน หัวใจของแรมแบบนี้มาจากปรากฏการณ์ magnetic tunnel ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2547 บริษัท อินฟินิออน (Infineon) เปิดตัวต้นแบบขนาด 16 Mib อาศัยเทคโนโลยี 0.18 ไมครอนเช่นเดียวกัน
สำหรับหน่วยความจำจากคอร์บอนนาโนทิว บริษัท แนนเทโร (Nantero) ได้สร้างต้นแบบขนาน 10 GiB ในปี พ.ศ. 2547
ในเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถจองแรมบางส่วนเป็นพาร์ติชัน ทำให้ทำงานได้เหมือนฮาร์ดดิสก์แต่เร็วกว่ามาก มักเรียกว่า แรมดิสค์ (ramdisk)


ประเภทของแรม
SRAM (Static RAM)
NV-RAM (Non-volatile RAM)
DRAM (Dynamic RAM)
Dual-ported RAM
SDRAM

รูปแบบของโมดูลแรม

โมดูลแรมแบบต่างๆ จากบนลงล่าง: DIP, SIPP, SIMM 30 พิน, SIMM 72 พิน, DIMM และ DDR DIMM
แรมสารกิ่งตัวนำมักผลิตในรูปของวงจรรวมหรือไอซี ไอซีมักจะนำมาประกอบในรูปของโมดูลสำหรับเสียบ มาตรฐานโมดูลแบบต่างๆ ได้แก่
Single in-line Pin Package (SIPP)
Dual in-line Package (DIP)
Single in-line memory module (SIMM)
Dual in-line memory module (DIMM)
โมดูลแรมของบริษัท แรมบัส (Rambus) จริงๆ แล้วคือ DIMM แต่มักเรียกว่า RIMM เนื่องจากสล็อตที่เสียบแตกต่างจากแบบอื่น
Small outline DIMM (SO-DIMM) เป็น DIMM ที่มีขนาดเล็ก ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แล็บท็อป มีรุ่นขนาด 72 (32 บิต), 144 (64 บิต), 200 (72 บิต) พิน
Small outline RIMM (SO-RIMM)



โมดูลแรมแบบต่างๆ จากบนลงล่าง: DIP, SIPP, SIMM 30 พิน, SIMM 72 พิน, DIMM และ DDR DIMM

สัปดาห์ ที่ 5 วันที่ 11 มิถุนายน 2552

Watchara Aungsuchot

1110101010000110001011101100011000010110100001100100111010000110 10000010101011100111011011100110110011101010111011000110000101101111011000101110

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552